ปัญหาคอคอดกระกับภูมิศาสตร์การเมือง
บทนำ
นับตั้งแต่ในยุคโบราณมานั้น
ความเจริญรุ่งเรืองที่เคยเกิดขึ้นในภาคพื้นทวีปจึงได้เคลื่อนตัวลงไปสู่ดินแดนที่เป็นชายขอบของทวีป
อันประกอบไปด้วยเมืองท่าที่สำคัญอันเป็นเส้นทางการค้าและการลงทุนในยุคปัจจุบัน ตลอดจนเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก
ดังนั้นรัฐต่าง ๆ ในยุคปัจจุบันจึงมีนโยบายที่จะมองออกไปในทะเล ให้ความสำคัญต่ออาณาเขตทางทะเล
ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการค้า การพาณิชย์นาวีแสนยานุภาพทางกองทัพ ฯลฯ
ตลอดจนการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาหรือข้อบกพร่องอันเกิดจากสภาพทางภูมิศาสตร์ของรัฐ
อันจะนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งชาติของตนสืบไปในอนาคต
คาบสมุทรมลายูฝั่งของไทยจะขวางกั้นสองมหาสมุทรสำคัญของโลกคือทางตะวันออกของคาบสมุทรเป็นอ่าวไทยซึ่งเชื่อมกับทะเลจีนใต้และมหาสมุทรแปซิฟิก
ส่วนทางตะวันตกเป็นทะเลอันดามันซึ่งเชื่อมกับมหาสมุทรอินเดียทำให้เรือซึ่งใช้เส้นทางคมนาคมทางทะเลระหว่างสองมหาสมุทรนี้จะต้อง
แล่นอ้อมไปทางตอนใต้สุดของแหลมมลายู โดยผ่านทางช่องแคบมะละกาและช่องแคบ สิงคโปร์ที่มีประเทศที่อ้างสิทธิความเป็นเจ้าของช่องแคบดังกล่าว
คือมาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์
ซึ่งปัจจุบันนี้ได้เริ่มเกิดปัญหาเรื่องความแออัดในการเดินเรือผ่านช่องแคบ ดังกล่าว
ประกอบกับคาบสมุทรไทยทางตอนใต้มีลักษณะเป็นผืนดิน ซึ่งมีส่วนที่แคบที่สุด ประมาณไม่เกิน
60
กิโลเมตร ขวางกั้นระหว่างมหาสมุทรอินเดียและอ่าวไทยได้แก่บริเวณ ตั้งแต่ปากแม่น้ำชุมพรเป็นแนวตรงไปทางตะวันตกยังปากแม่นำกระบุรีจังหวัดระนอง
ซึ่ง เรียกกันว่า คอคอดกระ (Kra Isthmus)
ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ประเทศไทยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เพียงประเทศเดียว
จึงไม่มีปัญหากรรมสิทธิ์ร่วมและอำนาจในการตัดสินใจขุดคอคอดกระหรือไม่ ประเทศไทยมีหลายหน่วยงานที่สำคัญในการศึกษาการขุดคอคอดกระ
เช่น คณะกรรมาธิการวิสามัญ สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย สมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน
รวมถึงต่างประเทศที่ให้ความสนใจ เป็นต้น
ประวัติศาสตร์ในการศึกษาและขุดคอคอดกระแบบสังเขป
คณะกรรมาธิการวิสามัญ (2547) บอกว่า มีการกล่าวถึงและศึกษาความเหมาะสมในการขุด
ตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการสงครามที่ต้องใช้กองเรือเดินทางจากฝั่งอ่าว
ไทยไปฝั่งอันดามัน และผลประโยชน์ทางการค้ากับพ่อค้าชาวต่างประเทศ
ที่ไม่ต้องเสียเวลาในการเดินเรืออ้อมแหลมมลายู อย่างไรก็ตาม
ในปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กรุงศรีอยุธยาเกิดความวุ่นวายทางการเมือง
โครงการนี้จึงระงับไป
รัชสมัยรัชกาลที่
1
Ø พ.ศ.
2336 (1793)
ให้ความสนใจที่จะขุดคอคอดกระ เนื่องจากเห็นความสำคัญต่อยุทธศาสตร์ทางทหารเป็นหลัก
แต่ความคิดที่จะขุดคลองกระครั้งแรกนี้มุ่งที่จะ ป้องกันประเทศเป็นสำคัญ
แต่ความคิดนี้ไม่สำเร็จ
รัชสมัยรัชกาลที่
4
Ø พ.ศ.
2401 (1858) อังกฤษเสนอให้ขุดคอคอดกระ
แต่ไทยไม่มีเงินทุน
Ø พ.ศ.
2406
(1863) อังกฤษส่งวิศวกร
2 คนมาศึกษาภูมิประเทศ บอกว่าพื้นที่ไม่เหมาะสมต่อการขุด
Ø พ.ศ.
2409-2411 (1866-1868) หลังจากฝรั่งเศสขุดคลองสุเอซได้สำเร็จ
กระแสการขุดคอคอดกระได้รับความสนใจอีกครั้ง
ฝรั่งเศสให้ข้อเสนอเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาพรมแดนกับอังกฤษ แต่ไทยต้องคิดหนัก
เพราะต้องเสียภาคใต้ให้อังกฤษ
รัชสมัยรัชกาลที่
5
Ø พ.ศ.
2415 (1872) อังกฤษเริ่มวิตกวังกลเรื่องคอคอดกระว่าจะเสียประโยชน์ที่ท่าเรือสิงคโปร์
Ø พ.ศ.
2424 ฝรั่งเศสริเริ่มขุดคลองปานามา
และเดินทางมาไทยเพื่อที่จะขุดคอคอดกระ แต่รัชกาลที่ 5 ปฏิเสธด้วยเหตุผล 2 ข้อ
คือ ยังไม่ทราบว่าการขุดนั้น จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยมากน้อยเพียงใด
และยังไม่ได้คำนวณการเข้ามาใช้คลองนี้
รัชสมัยรัชกาลที่
6
Ø พ.ศ.
2460 (1917)
สนใจที่จะขุดคลองนี้ แต่มีเหตุผลเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ
รัชสมัยรัชกาลที่
7
Ø พ.ศ.
2475-2478
(1932-1935) หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในช่วงนี้ญี่ปุ่นเป็นมหาอำนาจ
ใช้นโยบายรุนรานประเทศ ญี่ปุ่นให้ความสนใจคอคอดกระ
v นายปรีดี
พนมยงค์ รื้อฟื้นคอคอดกระให้รัฐบาลพิจารณาอีกครั้ง
รัชสมัยรัชกาลที่ 8
Ø พ.ศ.
2489 (1946) เนื่องจากประเทศไทยเข้าไปพัวพันกับ
WW2 ส่งผลให้การขุดคอคอดกระชะงักไป ด้วยเหตุผลทางการเมืองและความมั่นคง ในปีเดียวกัน
อังกฤษเกรงว่าไทยจะขุดคอคอดกระ จึงมีการลงนามข้อตกลงกับไทย ห้ามขุดคอคอดกระ
เพิ่มเชื่อมระหว่าง 2 มหาสมุทร จนกว่าจะมีข้อตกลงอย่างอื่น
แสดงให้เป็นว่าคอคอดกระมีความสำคัญต่อภูมิภาคนี้และเป็นคู่แข่งกับอังกฤษที่สิงคโปร์
รัชสมัยรัชกาลที่ 9
Ø พ.ศ.
2497
(1954) ไทยได้เจรจากับรัฐบาลอังกฤษ
เพื่อยกเลิกข้อตกลง รัฐบาลอังกฤษยอมยกเลิกข้อตกลง
และไทยมีอำนาจเต็มที่ในการขุดคอคอดกระ
แต่ก็หยุดชะงักแนวความคิดด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง
Ø พ.ศ.
2500 (1957) รัฐบาลจอมพลถนอม
กิตติขจร ได้เปิดให้ประชาชนได้ร่วมแสดงความคิดเห็น
มีทั้งสนับสนุนและคัดค้าน แต่รัฐบาลไม่มีเงินทุน โครงการหยุดชะงักไป
Ø พ.ศ.
2516 (1973) นายเชาว์
ขวัญยืน นักธุรกิจไทยเชื้อสายจีน ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลไทยในการศึกษาอย่างจริงจัง
โดยจ้างบริษัทวิศวกรจากสหรัฐอเมริกา ศึกษาทั้งหมด 5 เส้นทางที่สามารถขุดได้
และได้เสนอต่อรัฐบาลแต่มีปัญหาต่อรัฐบาลที่เปลี่ยนแปลงใหม่ โครงการจึงหยุดชะงักไป
Ø พ.ศ.
2525 (1982) พรรคชาติไทยเสนอให้มีการขุดคอคอดกระ
แต่รัฐบาลปฏิเสธเรื่องความมั่นคง
Ø พ.ศ.
2527 (1984) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาให้กระทรวงคมนาคม
จัดสัมมนาและทำรายงานต่อนักธุรกิจชาวอเมริกัน โครงการดำเนินไปได้ด้วยดี
แต่เกิดปัญหากับพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประกาศยุบสภา
Ø พ.ศ.
2529 (1986) รัฐบาลพลเอก
เปรม เป็นรัฐบาลต่อ โครงการจึงดำเนินต่อ ด้วยมีญี่ปุ่นและอเมริกาเป็นผู้ลงทุน
แต่กลุ่มนักวิชาการ ไม่เห็นด้วยกับการให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน ให้มีการจัดตั้ง
คณะกรรมาธิการวิสามัญ ใหม่
Ø พ.ศ.
2530 (1987) คณะกรรมาธิการวิสามัญเสนอให้
3 เหล่าทัพไปศึกษาดูงานคลองปานามาและคลองสุเอซ แต่เกิดวิกฤตการณ์ค่าเงินบาท
Ø พ.ศ.
2533 (1990) พล.อ.ชาติชาย
ชุณหวัณ เน้นไปที่การเปิดประตูอินโดจีนมากกว่าคอคอดกระ จึงได้ความสำคัญกับโครงการ
“อิสเทิร์น ซีบอร์ด” หรือ โครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก
Ø พ.ศ.
2537-2540 (1994-1997) รัฐบาลนายชวน
หลีกภัย ,
บรรหาร ศิลปะอาชา , ชวลิต ยงใจยุทธ ให้ความสนใจสนามบินใหม่ สุวรรณภูมิมากกว่า
หลังจาก 2540 เกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจอย่างรุนแรง
Ø พ.ศ.
2544 (2001) สมาชิกวุฒิสภาได้
รื้อฟื้นโครงการ ขุดคอคอดกระขึ้นมาพิจารณาใหม่
โดยได้รับอนุมัติจากวุฒิสภาให้จัดตั้งคณะ กรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการขุดคอคอดกระ
ของรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ต้องใช้ทุนมหาศาล 5
แสนล้าน ถึง 8 แสนล้าน แต่ความพลิกผันทางการเมือง
โครงการนี้ก็เดินหน้าต่อไปไม่ได้
Ø พ.ศ.
2548
(2005)
คณะกรรมาธิการวิสามัญได้รื้อฟื้นเรื่องการขุดคอคอดกระ โดยวุฒิสภาได้ลงมติเห็นชอบ
แต่รัฐบาลนิ่งเฉยแต่เรื่องนี้
Ø พ.ศ.
2558 (2015) ได้มีกลุ่มสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ
(สปช.) ได้รื้อฟื้นอีกครั้ง แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ
Ø พ.ศ.
2560 (2017) รัฐบาลให้ความสำคัญต่อเรื่องระเบียงเศรษฐกิจทะเลตะวันออก
(EEC) มากกว่าโครงการนี้
การเลือกเส้นทางในการขุดคอคอดกระ
จากการศึกษาเส้นทางขุดทั้ง
12 เส้นทางสามารถแบ่งตามจังหวัดที่ขุดผ่านได้ดังนี้
1. เส้นทางที่
1
(เส้น 1 2 และ 2A)
คลองผ่านจังหวัดระนอง ชุมพร ยาวประมาณ 80 กม.
2. เส้นทางที่
2 (เส้น 3 3A และ3C)
คลองผ่านจังหวัดกระบี่ พังงา สุราษฎร์ธานี ยาวประมาณ 180 กม.
3. เส้นทางที่
3 (เส้น 4 ) คลองผ่านกระบี่ นครศรีธรรมราช ยาวประมาณ 200
กม.
4. เส้นทางที่
4 (เส้น 5 5A และ 6)
คลองผ่านจังหวัดสตูล สงขลา ยาวประมาณ 102 กม.
5. เส้นทางที่
5 (เส้น 7 และ 7A)
คลองผ่านจังหวัดตรัง พัทลุง สงขลา ยาวประมาณ 100 กม.
6. เส้นทางที่
6 (เส้น 9A) คลองผ่านจังหวัดกระบี่ ตรัง พัทลุง
นครศรีธรรมราช สงขลา ยาวประมาณ 120 กิโลเมตร
คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ
ได้มีมติเลือกเส้น 9A เป็นเส้นทางที่ศึกษาขั้นสมบูรณ์และเป็นแนวคลองที่ดีที่สุด
คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ
ลงพื้นที่รับฟังความเห็นทั้งหมด 10 ครั้ง ตั้งแต่ 2545-2547
องค์การแรงงานแห่งประเทศไทย
ได้จัดเสวนาไปในปี 2559 พร้อมทั้งสนับสนุน
ที่มา : http://kracanal-maritimesilkroad.com/developments/canal-routes/ อ้างถึงคณะกรรมาธิการวิสามัญ
ข้อดีข้อเสียเส้นทาง 9A
ข้อดี
1. ตำแหน่งศูนย์กลางภาคใต้
ไม่มีปัญหาด้านความมั่นคง ห่างจากชายแดนเมียนมาประมาณ 500 กิโลเมตร และห่างจากประเทศสิงคโปร์ประมาณ 1200 กิโลเมตร นับจากเส้นทางที่ขุด
2. ทางภูมิรัฐศาสตร์บริเวณคลองที่ขุดส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธร้อยละ
95 และรวมพื้นที่ใกล้เคียงในแนวคลองทั้งหมดเป็นชาวไทยพุทธ ก่อให้เกิดปัญหาแบ่งแยกดินแดนได้ยาก
3. อยู่ในเส้นทางเดินเรือสากล
และสามารถพัฒนาท่าเรือหลบมรสุมได้ทั้ง 2
ฝั่งทะเล
4. ระบบโครงสร้างพื้นฐานมีความพร้อม
มีถนนเครือข่ายทางบกที่สมบูรณ์ และศูนย์กลางการเส้นส่ง (ถนนทางหลวงหมายเลข 4 ,รถไฟ 2 สาย และสนามบินอยู่ใกล้ 3แห่ง)
5. มีแหล่งน้ำจืดที่ใช้ในกิจการบริการคลองและสนุบสนุนอุตสาหกรรมได้เพียงพอ
6. มีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นเมืองใหม่
เขตเศรษฐกิจพิเศษ
7. มีความหนาแน่นของประชากรน้อย
ทำให้ลดค่าขนย้ายและค่ารื้อย้าย
8. ระดับน้ำทะเลทั้ง
2 ฝั่งต่างกัน 25-50 เซนติเมตร
จึงไม่ต้องมีประตูน้ำปากครอง
9. ประชาชนในแนวคลองทั้ง
23 อบต. สนับสนุนและมีส่วนร่วมการปรับแนวคลองตลอดแนวขุด
ที่มา : http://terrabkk.com/news/93426/-%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87-9a-%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87
ที่มา : http://kracanal-maritimesilkroad.com/kra-canal-alternative/
ข้อเสีย
1. ระยะทางยาวประมาณ
120 กิโลเมตร ยาวกว่าเส้นทางอื่น ๆ อยู่ 3
เส้นทาง
2. มีพื้นที่พาดผ่านเนินเขาประมาณ
10 กิโลเมตร บริเวณเทือกเขานครศรีธรรมราช
3. มีแนวคลองบางส่วนผ่านป่าพรุควนเคร็ง
ต้องพัฒนาพื้นที่ให้เหมาะสม ไม่งั้นจะเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม
4. ไม่สามารถสร้างท่าเรือริมทะเลตะวันออกได้
ต้องพัฒนาป่าพรุควนเคร็งบางส่วนเป็นท่าเรือ
แดนแกนและเมืองหลวง
ถ้ามีการขุดคอคอดกระสำเร็จ
บริเวณนี้จะเป็นพื้นที่แดนแกนที่สำคัญต่อประเทศไทย พอ ๆ กับ EEC หรือระเบียงเศรษฐกิจตะวันออกที่รัฐบาลพัฒนาให้เป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรม
เมื่อพัฒนาเสร็จคอคอดกระแห่งนี้ มีความสำคัญหลาย ๆ ด้าน
1. เป็นศูนย์กลางความเจริญด้านเศรษฐกิจของภาคใต้แห่งใหม่และของประเทศ
2. เป็นเส้นทางสายไหมทางทะเลที่สำคัญของโลก
3. มีความสำคัญต่อทางการเมืองและการทหาร
4. เป็นศูนย์กลางคมนาคมแห่งใหม่
เช่น ทางบก ทางราง ทางอากาศ และทางทะเล
การค้ากับความสัมพันธ์ทางการเมือง
การค้าระหว่างประเทศมีความสำคัญ
เมื่อขุดคอคอดกระสำเร็จจะช่วยลดค่าขนส่ง เพราะช่วยย่นเวลามากถึง 3 วันจากปกติ (ปกติอ้อมแหลมมลายูใช้เวลา 3 วัน)
สินค้าจะราคาถูกลง ประเทศไทยได้ภาษีจากเรือเทียบท่า
การคมนาคมขนส่งกับการเมือง
เมื่อขุดคอคอดกระสำเร็จจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยทั้งด้านเศรษฐกิจ
ด้านทหาร ด้านการขนส่งทางเรือ โดยไม่ต้องอ้อมแหลมมลายู
เมื่อเรือเทียบท่าสามารถเลือกเส้นทางขนส่งได้อีก เช่น ทางรถไฟ ทางถนน เป็นต้น
เส้นทางนี้ยังเป็นยุทธศาสตร์ในการสู้รบ และการลำเลียงอาหารและอาวุธ
อิทธิพลขององค์ประกอบทางเศรษฐกิจที่มีต่อภูมิศาสตร์การเมือง
ประเทศไทยได้เปรียบการพัฒนาเศรษฐกิจในเรื่องของสภาพภูมิศาสตร์
(The Relationship of Geographical Factors to Economic Development) เนื่องจากที่ตั้งของประเทศไทยนั้นได้เปรียบ คือเป็นศูนย์กลางของอาเซียน
ตั้งอยู่ระหว่างอินเดียและจีน เป็นประเทศเดียวทางแผ่นดินที่ต้องผ่านก่อนไปสิงคโปร์
และเมื่อขุดคอคอดกระ
จะยิ่งส่งผลให้ไทยเป็นศูนย์กลางคมนาคมทางทะเลที่สำคัญของโลกอีกแห่งหนึ่ง รองจากคลองปานามาและคลองสุเอซ
ถึงแม้รูปร่างประเทศไทยจะไม่กะทัดรัด จัดอยู่ในรัฐกระชับผสมยาวเรียว (Prorupted) ตามนักภูมิศาสตร์การเมือง
คือมีส่วนหนึ่งยืนออกไปจากส่วนใหญ่เป็นลักษณะแคบ ๆ ซึ่งถ้าถูกแบ่งด้วยคลองไทย
จะทำให้รูปร่างไทยอาจเปลี่ยนแปลงไปอยู่ในกลุ่มของ Fragmented State หรือ รัฐกระจัดกระจาย ซึ่งดินแดนผืนหลักถูกสะบั้นแตกกระจายออกเป็นสองส่วน
แต่พื้นที่ 2 ส่วน ไม่ได้ห่างไกลมากเหมือนมาเลเซีย เมื่อมีคลองไทยเป็นคลองเชื่อม
2 น่านน้ำ ประเทศไทยต้องมีทหารเรือที่แกร่งแข็งมากขึ้น
เนื่องจากมีอิทธิพลเหนือน่านน้ำและเป็นเส้นทางคมนาคมของโลก
ศาสนากับภูมิศาสตร์การเมือง
สำหรับประเทศไทยไม่มีศาสนาประจำชาติ
คนทุกศาสนาในประเทศไทยจึงเท่าเทียมกันตามกฎหมาย แต่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ หากประเทศไทยมีการจัดการไม่ดีพอ
ศาสนาจะเป็นเครื่องวัดอำนาจเกิดการรวมกลุ่มต่อต้าน และแตกแยกได้ โดยเฉพาะชายแดนภาคใต้
ที่จะจัดตั้งเป็นสาธารณรัฐปัตตานีมากที่สุด (สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย,2531
: 71)
แต่มีข้อคัดค้านด้วยว่า การขุดคลองไทยทำให้ภายใต้มีงานทำ
เนื่องจากเป็นท่าเรือขนาดใหญ่ ประชาชนจะใกล้ชิดสนิทกันมากกว่าแทนที่แตกแยกกัน
เราได้อะไรถ้าโครงการขุดคอคอดกระเป็นผล?
1.
ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม
1.1.
ด้านเศรษฐกิจ
คลองไทยจะเป็นตัวกระตุ้นและนำความเจริญทางเศรษฐกิจมาสู่ประเทศไทยอย่างมากมาจากกิจการเดินเรือทั้งภายในและระหว่างประเทศ
ส่งผลให้บริเวณนั้นเจริญเติบโตเป็นฐานเศรษฐกิจแห่งใหม่ การขุดคอคอดกระทำให้ประเทศไทยอยู่ในเส้นทางเดินเรือโลก
1.2.
ด้านอุตสาหกรรม
เกิดเขตอุตสาหกรรมทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน เช่นอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและซ่อมเรือ
ศูนย์กลางค้า และโรงงานต่าง ๆ อีกจำนวนมาก
2.
ด้านการพัฒนาและนำทรัพยากรด้านแรงงานของชาติมาใช้
จากผลการสำรวจของบริษัท TAMS และ RRNA บอกว่าระหว่างขุดคลองต้องใช้แรงงานปีละ 8000 คน
และเมื่อขุดเสร็จแล้วต้องใช้แรงงานดูแลรักษาอีกประมาณ 3000
คน (สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย,2531)
3.
ด้านเศรษฐกิจการเงินของประเทศ
การขุดคอคอดกระจะก่อให้เกิดรายได้เป็นเงินตราจากต่างประเทศแทบทั้งสิ้น
นอกจากค่าภาษี ค่าผ่านคลลอง ค่าท่าเทียบเรือ
ยังมีผลประโยชน์จากค่าจากการท่องเที่ยว
4.
ด้านยุทธศาสตร์และการเมือง
4.1.
คลองไทยจะเป็นฐานะจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก
เพราะเป็นเส้นลำเลียงที่สั้นที่สุดระหว่างมหาสุมทรอินเดียและแปซิฟิกทั้งในยามสงบและยามสงคราม
รวมถึงเป็นอำนาจในการต่อรองการค้าระหว่างประเทศได้อีกด้วย
4.2.
การขุดคอคอดกระจะเป็นการพัฒนาชายแดนภาคใต้ที่ติดต่อกับมาเลเซียเจริญมากขึ้น
ลดอัตราเศรษฐกิจการเมืองและสังคมกับมาเลเซียได้
4.3.
บริเวณคลองไทยจะเป็นเส้นทางลำเลียงกองทัพของไทยระหว่าง
2 มหาสมุทร
4.4.
ประเทศไทยจะมีอำนาจต่อรองกับญี่ปุ่นมาขึ้น
เนื่องจากเป็นเส้นทางลำเลียงน้ำมันจากตะวันออกกลางไปสู่ญี่ปุ่น
บรรณานุกรม
ไกรฤกษ์ นานา. (2556).
ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์หน้าหนึ่งในสยาม. กรุงเทพฯ: มติชน.
คณะกรรมาธิการวิสามัญ
เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการขุดคอคอดกระ. (2547). โครงการขุด
คอคอดกระ.
กรุงเทพฯ: สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา.
สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย. (2531).
ข้อเท็จจริงและความเห็นเกี่ยวกับการขุดคอคอดกระ.
กรุงเทพฯ:
สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย.
ดุลยภาค ปรีชารัชช. (27 ตุลาคม 2560). รูปร่างรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้.
เข้าถึงได้จาก
https://blogazine.pub/blogs/dulyapak/post/5313
ไทยรัฐ. (27 ตุลาคม 2560). คอคอดกระ. เข้าถึงได้จาก ไทยรัฐ:
https://www.thairath.co.th/content/434283
มหาวิทยาลัยปทุมธานี. (มกราคม-มิถุนายน
2560).
การขุดคอคอดกระกับความมั่นคงทางภูมิ
รัฐศาสตร์.
วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยปทุมธานี(1), 1. เข้าถึงได้จาก http://www.ptu.ac.th/journal/data/8-1/8-1-14.pdf
สมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน. (27 ตุลาคม 2560). THAI CANAL INTERNATIONAL
CONFERENCE.
เข้าถึงได้จาก คอคอดกระ: http://kracanal-maritimesilkroad.com/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น